ตามรวบ2เยอรมันแฮกเกอร์ ดูดเงินพ.อ.(หญิง)

ตามรวบ2เยอรมันแฮกเกอร์ ดูดเงินพ.อ.(หญิง) +
http://www.thaimuslim.com/readstory.php?c=3&id=17051 + http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=84097 [10 ส.ค.53] +
http://paidoo.net/read.php?id=3634627 +
http://news.impaqmsn.com/articles.aspx?id=351606&ch=gn1
กองปราบฯ โชว์ฝีมือ รวบ 2 หนุ่มเยอรมัน ลูกสมุน "แก๊งแฮกเกอร์" เจาะข้อมูลธุรกรรมการเงิน ของ "พ.อ.หญิง"รร.นายร้อยจปร. แต่ไม่รอดพ้นฝีมือโปลิศไทย แกะรอยตะครุบจากกล้องวงจรปิด ที่ตู้เอทีเอ็มเมืองพัทยา จับภาพเอาไว้ได้ เปิดปากสารภาพ อ้างเป็นแค่ "ม้าเร็ว" คอยวิ่งกดเงิน ซัดทอดหัวโจกใหญ่ ชื่อ "คิม" ชาวรัสเซีย รู้จักกันที่เมืองพัทยา ขณะที่ "ผบก.ป." แฉเร่งขยายผล หลังพบข้อมูลตั้งแต่ต้นปี แก๊งวายร้ายต่างชาติ อาละวาดสร้างความเสียหาย สูงนับ 100 ล้านบาท ใช้แผนส่ง "ไวรัสโทรจัน" ข้ามทวีป มาทะลวงเจาะข้อมูลเหยื่อ พอได้รหัสสำคัญแล้ว จะรีบโอนเข้าบัญชีของทีมงานในเมืองไทย เพื่อนำไปกดเงินออกทันที ล่าสุดหน่วยงานสหรัฐให้ความสนใจ เตรียมประสานขอข้อมูล
ภายหลังจาก นสพ.เดลินิวส์ ตามเกาะติดนำเสนอข่าวคดีที่ พ.อ.(หญิง) ขัตติยาพร คำอาจ อาจารย์ส่วนการศึกษา รร. นายร้อย จปร.เขาชะโงก จ.นครนายก และเจ้าของ รร.สอนกวดวิชาธนวรรณ ตั้งอยู่ ใน อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ว่าหลังจากใช้บริการบัวหลวง ไอ แบงก์กิ้ง ของธนาคารกรุงเทพ ทำธุรกรรมการเงินผ่านทางอินเทอร์เน็ต แล้วจู่ ๆ เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ สาขาหนองโพ อ.โพธาราม สูญหายไปร่วม 7 แสนบาท ล่าสุด ตร.ตรวจพบปลายทางเงินไปโผล่ที่ บัญชีของนายสมเกียรติ ตาสา อยู่ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว จากนั้นมีคนมากดเงินวันเดียวถึง 20 ครั้งจึงสงสัยว่าอาจเป็นฝีมือแก๊งแฮกเกอร์
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 9 ส.ค. พ.อ.(หญิง) ขัตติยาพร พร้อมด้วย พ.อ.ป๋อง คำอาจ สามี เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ณัฐพงศ์ จิรพฤฒิศิริ ร้อยเวร สภ.เมืองนครนายก เจ้าของคดี เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยมี พ.ต.ท.ธวัชชัย สนิกวาที รอง ผกก. (สส.)ร่วมรับฟังด้วย ทั้งนี้ พ.อ.(หญิง) ขัตติยาพร กล่าวว่า เสียความรู้สึกมากที่ตอนแรกทางธนาคารจะรีบปัดความรับผิดชอบ มักอ้างว่าโดนไวรัสบ้างสารพัดที่จะอ้างแต่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลความจริงเพราะ เกรงว่าจะเสียลูกค้าและธนาคารจะได้รับความเสียหาย กระทั่งสื่อนำเสนอข่าวออกมาติดต่อกันหลายวัน ทำให้มีประชาชนเป็นจำนวนมากให้ความสนใจ ทำให้ทางธนาคารมีความกระตือรือร้นมากกว่าเดิม
"ตอนแรกที่ทางธนาคารต้นสังกัด สาขาหนองโพ จะอ้างว่าทางธนาคารดำเนินการเองไม่ได้ต้องทำตามขั้นตอนก่อน แต่เมื่อมาติดต่อธนาคารกรุงเทพ สาขานครนายก รีบช่วยเหลือประสานงานกับทางสำนักงานใหญ่ จนได้รับความกระจ่างชัดเจนหลายเรื่อง"
ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่กองบังคับการปราบปราม พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทน ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา รอง ผบก.ปอท. (ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี) พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1บก.ป. พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ต.จารุวัฒน์ พาหุมันโต สว.กก.1 บก.ป. และนายกิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ผจก.ฝ่ายความปลอดภัยด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ธนาคารกรุงเทพ ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม นายโดมินิค ไอโคโน อายุ 22 ปี และนายเดฟ แอคเคอร์แมนน์ อายุ 23 ปี ทั้งคู่สัญชาติเยอรมัน
โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ที่หน้าโรงแรมแกรนด์ทาวเวอร์อินน์ ซอยทองหล่อ 1 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา พร้อมของกลาง บัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ ของนางกนกวรรณ เบจาวี และ น.ส.บุญตา อนิกระทอน พร้อมบัตรเอทีเอ็ม บีเฟิร์สสมาร์ท 2 ใบ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง เครื่องบันทึกข้อมูลทางธนาคารและบัตรเครดิต (USB) 1 อัน และโทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง
พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้ภายหลังจาก พ.อ.(หญิง)ขัตติยาพร ได้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองนครนายก ต่อมาชุดสืบสวน กก.1 บก.ป.จึงได้ประสานเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ และทางตำรวจ บก.ปอท. เร่งสืบสวนสอบสวนอย่างเงียบ ๆ อีกทางหนึ่ง กระทั่งพบเบาะแสคนร้ายแก๊งนี้ไปกดเงินของผู้เสียหายจากตู้เอทีเอ็มในพื้นที่ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพไว้ได้ 2 ราย จึงวางแผนสืบสวนแกะรอย ก่อนจะสามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองไว้ได้ เบื้องต้นแจ้งข้อหา ผู้ใดมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่น โดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จะส่งตัวให้บก.ปอท.รับไว้ดำเนินคดีและขยายผลต่อไป
รักษาราชการแทน ผบก.ป. กล่าว ต่อว่า ผู้ร่วมกระทำความผิดแก๊งนี้พบว่ายังมีชาวต่างชาติ เป็นแฮกเกอร์ ที่ปล่อยไวรัสโทรจัน (TROJAN) เข้าไปในระบบประมวลผลคอมพิวเตอร์ของเหยื่อขณะกำลังทำธุรกรรมทางการเงินผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ตจนได้ข้อมูลล็อกอินและพาสเวิร์ดของบัญชีธนาคาร จากนั้นรีบดำเนินการโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของคนไทยที่มีการเปิดไว้ ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองเป็นเพียง "ม้า" หรือผู้ที่วิ่งไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม ในพื้นที่เมืองพัทยา และพื้นที่ใกล้เคียง อ้างว่าได้ค่าจ้างเพียง 1 แสนบาท ส่วนคนว่าจ้างเป็นชาว รัสเซีย ชื่อ "คิม" รู้จักกันที่พัทยา
สำหรับการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2553 พบว่าเกิดความเสียหายแล้วประมาณ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ดีทางเจ้าหน้าที่ได้เร่งสืบสวนขยายผลในกรณีนี้แล้ว แต่มีข้อมูลหลายส่วนที่ยังต้องใช้เวลาดำเนินการและถือเป็นอาชญากรข้ามชาติ รายสำคัญที่ใช้ประเทศไทยเป็นที่พำนักและก่ออาชญากรรมทำให้เกิดความเสียหาย กับลูกค้าของธนาคารเป็นจำนวนมาก นอกจากคนร้ายใช้วิธีการปล่อยไวรัสโทรจันเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ของเหยื่อ แล้วยังพบว่ามีการซื้อข้อมูลบัตรมาสเตอร์การ์ด วีซ่าการ์ด ทางอินเทอร์เน็ตนำมาใช้เข้ารหัสเพื่อซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการซื้อขาย สินค้าทางอินเทอร์เน็ตได้ด้วย โดยข้อมูลเหล่านี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบและขยายผลซึ่งทางสหรัฐอเมริกาก็ ให้ความสนใจอย่างมากเพราะมีการเชื่อมโยงกับหัวหน้าขบวนการที่อยู่ต่างประเทศ
ด้าน พ.ต.อ.ศิริพงษ์ รอง ผบก.ปอท. เปิดเผยว่า แผนประทุษกรรมของแก๊งคนร้าย จะใช้วิธีปล่อย "ไวรัสโทรจัน" (โปรแกรม ที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแอบแฝง กระทำ การบางอย่าง) ประเภทที่เรียกว่า "ไซเรน แบงเกอร์" หรือนายธนาคารเงียบ มีฟังก์ชั่นตรวจสอบผู้ที่ติดไวรัสตัวนี้ว่ามีธุรกรรมทางการเงินหรือไม่ ส่วนผู้ที่ทำ "แฮกเกอร์" เข้าไปเจาะบัญชีพบว่าอยู่ที่ประเทศรัสเซียจะคอยมอนิเตอร์กลุ่มผู้ติดไวรัส โทรจัน เมื่อสามารถเจาะบัญชีเหยื่อได้แล้วจะรีบอัพเดท เปลี่ยนรหัสหมายเลขบัญชีเป็นของบัญชีอื่น หลังจากโอนเงินสำเร็จจะให้ "ม้า" หรือผู้วิ่งกดเงินรีบไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มทันที เพื่อไม่ให้เหยื่อสามารถอายัดการทำธุรกรรมได้ทัน
รอง ผบก.ปอท.เปิดเผยต่อว่า อยากฝากเตือนประชาชนว่าการทำธุรกรรมทาง การเงินผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไม่ว่าที่ใดก็ มีความเสี่ยง แต่เราไม่ควรนำบัญชีที่มีเงิน อยู่จำนวนมากในการทำธุรกรรมน้อย ๆ ควรจะแบ่งหรือกระจายความเสี่ยงออกไป ส่วนเรื่อง การใช้คอมพิวเตอร์ก็ควรจะติดตั้งโปรแกรมตรวจจับไวรัสและอัพเดทอยู่เสมอหรือ ไม่ก็ต้องหมั่นล้างข้อมูล เช่น ในต่างประเทศ มีการล้างข้อมูลโดยเก็บข้อมูลสำคัญเอาไว้ และเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องทำธุรกรรมการเงินก็ไม่ควรไปดาวน์โหลดโปรแกรม ใช้ฟรี ต่าง ๆ โดยเฉพาะในเว็บไซต์ที่ล่อแหลม รวมทั้งการเปิดไฟล์ที่แนบมากับอีเมลที่เราไม่รู้จัก อย่างไรก็ตามถ้าเห็นความผิดปกติแล้วหากเป็นไปได้ก็ควรหยุดการดำเนินการ
"เมื่อทำธุรกรรมการเงินแล้วพบหมายเลขบัญชีแปลก ๆ โผล่ขึ้นมาระหว่างขั้นตอนการดำเนินการแล้วก็ควรหยุดตรวจสอบหรือหากไม่มั่นใจ ก็ควรรีบชักปลั๊กไฟฟ้าออก อย่าลืมว่าคนร้ายได้รีโมตเข้ามาแล้ว ผมได้คุยกับทางธนาคารแล้วก็ได้รับการยืนยันว่ามีการปรับปรุงและป้องกันปัญหา ดังกล่าว เพื่อไม่ให้ทางแฮกเกอร์รู้ขั้นตอนหรือดักจับข้อมูลจากจุดอ่อนต่าง ๆ ของระบบธนาคารได้" พ.ต.อ.ศิริพงษ์ กล่าว
ด้านนายกิตติ ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการยืนยันว่าระบบของธนาคารกรุงเทพ ไม่ได้มีปัญหาเรามีการป้องกันการแฮกข้อมูลเป็นอย่างดี สำหรับรายของผู้เสียหายนั้นทางเจ้าหน้าที่ได้ส่งข้อมูลให้ผู้ใช้งานทราบแล้ว ว่ามีการระบุหมายเลขบัญชีของบุคคลที่สาม ซึ่งจะมีการโอนเงินออกไปจะมีการเพิ่มบัญชี เพื่อให้ผู้ใช้งานได้ตรวจสอบและยืนยันแสดงให้เห็นว่าเรามีระบบการป้องกัน ความปลอดภัยแล้วเป็น มาตรฐานเดียวกับต่างประเทศ แต่ความผิดพลาดเกิดจากลูกค้า และแฮกเกอร์ก็เข้ามาโจรกรรมข้อมูลในส่วนของลูกค้าไม่ใช่ของทางธนาคาร
ขณะที่ พ.อ.(หญิง) ขัตติยาพร กล่าวว่า เรื่องการป้องกันเกี่ยวกับการทำ ธุรกรรมทางการเงินนั้นปกติตนก็ดำเนินการตามที่ธนาคารแนะนำ คงไม่มีลูกค้าธนาคาร รายใดที่อยากสูญเสียเงินไป ตนพยายามรอบคอบทุกอย่างแล้ว แต่หากมีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างการทำธุรกรรมก็ควรหยุดการดำเนินการต่อไปอีก ส่วนกรณีของตนทุกขั้นตอนตนไม่มั่นใจว่าเกิดความผิดปกติในขั้นตอนใด หลังจากใช้บริการวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมาจึงเกิดปัญหา จนเงินหายไปจากบัญชีและตรวจสอบพบจึงรีบระงับการใช้เงินจากบัญชี.